หน้าหลัก/บทความ/ แนะนำหนังสือ / “บาร์หนังสือจากดวงจันทร์” สถานที่ซึ่งความบังเอิญกลายเป็นโชคชะตา /
21 พฤศจิกายน 2024
0

“บาร์หนังสือจากดวงจันทร์” สถานที่ซึ่งความบังเอิญกลายเป็นโชคชะตา

favorite

หากช่วงเวลาที่รู้สึกเสียดายที่สุดในชีวิตและช่วงเวลาที่อยากย้อนกลับไปแก้ไข มาปรากฎอยู่ตรงหน้า เป็นคุณจะเลือกอะไร


บนเส้นทางที่เดินผ่านเป็นประจำ อยู่ ๆ ก็พบกับร้านที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกตั้งอยู่ระหว่างซอกซอยที่แสนคุ้นเคย ทั้งที่จำได้แม่นว่าเมื่อวานหรือเมื่อวันก่อนไม่เคยเห็นร้านนี้มาก่อน–ร้านที่ชื่อว่า ‘บาร์หนังสือจากดวงจันทร์’ ซึ่งมีคำขวัญประจำร้านว่า ‘หากชีวิตของคุณเหมือนหนังสือได้หนึ่งเล่ม’
ณ ห้วงเวลาสุดท้ายของวันที่แสนเหนื่อยล้า แสงไฟนวลตาจากร้านช่วยปลอบประโลมจิตใจ  หากมองแค่ป้ายหน้าร้านคงแยกไม่ออกว่าที่นี่เป็นร้านหนังสือ บาร์ หรือว่าคาเฟกันแน่  เมื่อเปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เตะตาคือชั้นวางที่มีขวดเหล้าเรียงราย
สงสัยคงจะเป็นร้านเหล้าละมั้ง  จากนั้นพนักเสิร์ฟสาวหูกระต่ายที่แลดูสับสนจะยื่นเมนูมาให้ด้วยท่าทีแสนประหม่า   ชื่อรายการบนเมนูล้วนมีเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็น ‘จูบของรักแรก’  ‘เด็กชายที่พบเห็นหลายสิ่ง’ หรือ ‘ภูตอวกาศ’
สำหรับท่านที่มีความกังวลใจ โปรดเลือกเมนูที่สะดุดตาที่สุด แล้วบาร์เทนเดอร์ผมสีครามจะนำค็อกเทลมาเสิร์ฟให้ในทันที


“เรื่องราวที่สั่งได้แล้วครับ”


สำหรับเรื่อง “บาร์หนังสือจากดวงจันทร์” ถือเป็นผลงานเปิดตัวของคุณนักเขียน เลยสงสัยว่าเหตุใดถึงเลือก
นำ ‘ดวงจันทร์’  ‘เหล้า’  และ  ‘ร้านหนังสือ’  มาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน


เนื่องจากเป็นสามสิ่งที่ผมต้องการเวลามีเรื่องให้ต้องคิดครับ โดยเฉพาะตอนยังเป็นนักศึกษา เวลาที่อยากเสริมความรู้เกี่ยวกับวิชาเรียนหรือเรื่องการสร้างมนุษย์สัมพันธ์  ผมก็มักจะอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านั้นบ่อย ๆ ครับ  ในมหาวิทยาลัยจะมีห้องสมุดที่แม้แต่นักศึกษาที่ไม่มีเงินก็ยืมหนังสือได้ง่าย ๆ ใช่ไหมล่ะครับ  ช่วงสุดสัปดาห์ห้องสมุดจะเงียบสงบและอบอุ่นมาก
ทำให้นึกถึงร้านขายหนังสือแถวบ้านสมัยเด็ก ๆ ก็เลยชอบครับ  แต่ถ้าเป็นเวลาที่หนังสือช่วยแก้เรื่องกวนใจไม่ได้ ผมมักเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าครับ พอตกดึก เรื่องที่ชวนให้คิดก็มักจะมากขึ้นด้วยใช่ไหมครับ
เพราะงั้นผมจึงมักจะมองท้องฟ้าตอนกลางคืนมากกว่าท้องฟ้าสีฟ้าในตอนกลางวันน่ะครับ  ในช่วงเวลาที่ไม่เหลือใคร ผมเคยมองดวงจันทร์ในขณะที่รู้สึกเศร้าใจมาก ๆ เพื่อระบายความกลัดกลุ้มออกมาครับ  ช่วยให้หัวใจที่ห่อเหี่ยวของผมดีขึ้นมาได้บ้างน่ะครับ พอหลังจากได้มองดวงจันทร์แล้วรู้สึกเหมือนได้จมเข้าไปในห้วงความคิดเลยละครับ  แต่ถ้าแม้แต่การมองดวงจันทร์ก็ยังไม่ช่วยให้ใจสงบลงได้
ผมก็มักจะพึ่งเหล้าครับ กระดกเหล้าเข้าปากไปด้วย ระบายเรื่องในใจให้เพื่อนฟังไปด้วย  หรือแม้แต่ในบางทีที่เพื่อนมีเรื่องไม่สบายใจก็มักจะมีเหล้าอยู่ข้าง ๆ ร่วมฟังเรื่องราวเหล่านั้นไปด้วยกันเสมอครับ  ในวันที่ยากลำบากมาก ๆ ผมจะดื่มเหล้าแล้วมองท้องฟ้าในยามค่ำคืนไปด้วยครับ  ผมอยากเขียนหนังสือด้วยความรู้สึกเหมือนตอนเป็นนักศึกษาที่ผมมักจะขบคิดอย่างเอาจริงเอาจังกับความถูกต้องน่ะครับ
ดังนั้นผมจึงนำเอาวัตถุดิบทั้งสามอย่างนี้ที่เคยปลอบโยนผมในตอนนั้นมาร้อยเรียงเข้าด้วยกันครับ


ก่อนได้รับการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ ได้ยินมาว่าได้รับทุนสมทบจาก tumblbug[1] มากถึง 675% อยากทราบว่าเคยคิดมาก่อนไหมว่าจะได้ผลตอบรับดีขนาดนี้

 

ไม่ครับ จริง ๆ แล้วบอกไม่ได้เลยครับว่าจะสำเร็จลุล่วง 100% ตอนแรกผมสั่งพวงกุญแจมาคู่กับหนังสือแค่ ห้าชิ้นเองครับ
คิดว่าคงขายไม่หมดแน่ ๆ ถึงผมจะไม่ได้มั่นใจนัก แต่ที่ตัดสินใจขอระดมทุนเพราะอยากลองดูด้วยแรงทั้งหมดที่มี โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการเขียนไปจนถึงการรวมเล่มน่ะครับ ผมอยากลองทำอะไรพิเศษ ๆ ให้เป็นที่ระลึกสำหรับช่วงปีสุดท้ายของวัยยี่สิบดูครับ
และใช่ครับ สิ่งนั้นคือการทำหนังสือ ถ้าจะพูดให้ชัดขึ้นไปอีกก็คือการทำหนังสือนิทานครับ แต่พอเป็นว่าเขียนไปได้สักพัก แทนที่จะเป็นงานสำหรับเด็ก ๆ กลับกลายเป็นว่ามันกระทบใจบรรดาผู้ใหญ่ได้มากกว่า เหมือนอยากจะปลอบประโลมตัวเองน่ะครับ มันทั้งยากและทั้งกังวลมาก ๆ แต่พอได้รับการตอบรับที่อบอุ่นกว่าที่คิดก็รู้สึกตกใจมากจริง ๆ ครับ
เป็นเหล่าผู้คนที่รู้สึกขอบคุณด้วยใจจริงเลยล่ะครับ แค่เป็นกำลังใจให้กันก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว พอได้รับรู้ความเห็นที่บอกว่าสนุกยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยได้เลยครับ




ความหลากหลายด้านสายอาชีพของตัวละครที่ปรากฎอยู่ในเรื่องสร้างความประทับใจได้ดีทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนนิยาย


นักดนตรีที่เคยฝันว่าอยากจะเป็นนักฟุตบอล จิตรกร หรือแม้กระทั่งพนักงานออฟฟิศ พอจะอธิบายถึงเหตุผลที่สร้างตัวละครให้มีอาชีพหลายหลายได้ไหม


พอตกอยู่ในบ่วงแห่งความโศกเศร้าก็มักมีแนวโน้มจะตำหนิตัวเองครับ  “ทำไมฉันถึงอ่อนแอแบบนี้นะ ทั้งที่คนอื่นกำลังไปได้ดี ทำไมมีแต่ฉันที่เป็นแบบนี้ล่ะ”  เหมือนจะทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว แต่เพื่อนผมเองก็บอกว่าตัวเขาก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันครับ เลยกลายเป็นคำปลอบโยนที่ว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่เป็นแบบนั้น จริง ๆ แล้วทุกคนต่างก็มีเรื่องที่ต้องครุ่นคิดไม่ต่างจากผมสักหน่อย  “จะใช้ชีวิตยังไงดีล่ะ”  เป็นคำถามที่ไม่ว่าใครก็คงต้องเคยถามตัวเองสักครั้งเหมือนกันครับ
เป็นคำถามที่แม้แต่คนในอดีตราว ๆ หลายร้อยปีก่อนก็คงกังวลไม่ต่างกัน ด้วยใจที่อยากจะสะท้อนสิ่งเหล่านั้นออกมาเลยกลายเป็นเหตุผลในการสร้างตัวละครให้มีหลากหลายอาชีพครับ
ผมอยากบอกกับทุกคนว่าคุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ เป็นเรื่องปกติที่ไม่ว่าใครก็ต่างมีเรื่องให้กังวลใจทั้งนั้น และบาร์หนังสือจากดวงจันทร์ก็เปิดรับทุกคนจากจุดประสงค์นั้นเช่นกันครับ

 


หากต้องเลือกมาสักหนึ่งฉากจากหลาย ๆ ตอน มีฉากไหนที่ติดอยู่ในใจของคุณนักเขียนหรือรู้สึกชอบมากที่สุดไหม

อาจจะไม่ได้มีตอนไหนที่รู้สึกชอบเป็นพิเศษขนาดนั้น แต่ถ้าต้องเลือกจริง ๆ มีอยู่สองฉากที่เด้งเข้ามาในความคิดครับ ฉากแรกคือฉากที่มาจากตอน ‘บนทางสี่แยก’ มีบทที่พูดว่า “ฝัน ใช่สิ ฝัน” อยู่ครับ ก่อนที่จะได้มาที่บาร์หนังสือจากดวงจันทร์ ความหมายของความสำเร็จของตัวเอกคือ ‘การมีเงินเยอะ ๆ’  จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่สี่แยก ตัวเอกถึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ‘ความสำเร็จ’ ไม่ใช่เงินครับ  ผมเองก็มีช่วงเวลาที่หวั่นไหวไปกับเงินอยู่มากเหมือนกันครับ ผมชอบฉากนี้เพราะช่วยเตือนสติให้ผมได้รู้ว่ายังมีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่านั้นอยู่ครับ สำหรับผมแล้วฉากนี้เหมือนเป็นการยืนยันได้แบบหนึ่งเลยล่ะครับ


อีกฉากมาจากตอน ‘ชายหนุ่มผู้กลายเป็นชายชรา’  มีประโยคที่ตัวละครพูดว่า  “ถ้านายแสวงหาเงิน ฉันก็จะมีเงินทอง ถ้านายชอบมีอำนาจ ฉันก็คงจะมีอำนาจอยู่เต็มมือ ไม่ว่านายจะชื่นชอบหรือเติมเต็มอะไร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับทางเลือกของนาย”  เช่นเดียวกันครับ ผมชอบตรงที่คำพูดเหล่านี้ช่วยเตือนผมเรื่องเป้าหมายในการใช้ชีวิตครับ

ไม่ใช่แค่เรื่องราวของแขกที่มาเยือนร้านเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องเล่าของกระต่ายที่คอยปกป้องดวงจันทร์และมูนผู้ดูแลหอสมุดแห่งท้องฟ้าที่น่าสนใจไม่แพ้กันอีกด้วย เรื่องราวของทั้งคู่ถือว่าเป็นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเลย  ทั้งนี้เลยไม่แน่ใจว่าวางแผนจะมีภาคต่อไหม


จริง ๆ วางแผนเรื่องภาคสองไว้ประมาณหนึ่งครับ ในภาคสองผมคิดเอาไว้ว่าจะให้สิ่งที่มูนสร้างขึ้นเป็นตัวกำหนดทิศทางของเรื่องครับ หากภาคแรกคือโลกแฟนตาซีที่สัมผัสได้ในโลกแห่งความเป็นจริง ภาคสองคงเป็นคอนเซปต์ของโลกแห่งความเป็นจริงที่ได้ลิ้มลองในโลกแฟนตาซีครับ แต่ตอนนี้ผมกำลังเขียนงานชิ้นอื่นอยู่ แถมยังเป็นแค่แผนการคร่าว ๆ เลยตอบได้ค่อนข้างยากว่าจะปล่อยภาคสองออกมาสู่สายตาทุกคนได้เมื่อไรน่ะครับ ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับเหล่านักอ่านด้วยครับ

“เฝ้าฝันว่าอยากจะเขียนเรื่องราวแสนอบอุ่นที่เหมือนกับบรรยากาศในช่วงปลายปี” เป็นคำที่คุณนักเขียนใช้แนะนำตัวเอง จึงอยากจะทราบว่านอกจากเรื่อง ‘บาร์หนังสือจากดวงจันทร์’ ยังมีแผนการเขียนงานอื่น ๆ ในอนาคตอีกไหม

อาจจะมีข้อแตกต่างกันออกไปบ้าง แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเขียนนวนิยายแฟนตาซีครับ เป้าหมายของผมคือการเขียนหนังสือที่พูดคุยกับใครสักคนได้อย่างละมุนละม่อม ไม่ว่าจะเป็นนวนิยายแฟนตาซีหรือไม่ก็ตามครับ  ในโลกนี้อาจจะมีหนังสืออยู่มากมายจึงย่อมต้องมีสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป  มีทั้งหนังสือที่วิพากษ์วิจารณ์ฉากหลังของโลกได้อย่างเฉียบคม มีทั้งหนังสือที่หยิบยกเอามโนทัศน์ยาก ๆ มาอธิบายได้อย่างแจ่มชัด  ผมหวังเพียงแค่ว่าหนังสือของผมจะเป็นสิ่งที่ช่วย ‘ปลอบโยน’ ท่ามกลางหนังสือเหล่านั้นได้ครับ  แม้ว่าจะยังมีข้อผิดพลาดอยู่มาก แต่ผมก็จะตั้งใจทำงานอย่างเอาจริงเอาจังครับ


สุดท้ายนี้อยากจะฝากอะไรถึงนักอ่านที่อ่านเรื่อง ‘บาร์หนังสือจากดวงจันทร์’ ไหม


ด้วยการสนับสนุนของนักอ่านทุกท่าน ในที่สุด ‘บาร์หนังสือจากดวงจันทร์’  ก็ได้รับการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการแล้วครับ  มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายไม่ว่าจะสุขหรือเศร้า ผมเลยอยากจะส่งต่อคำขอบคุณไปถึงทุกคนครับ  หากไม่มีทุกคนผมคงไม่ได้มาถึงจุดนี้แน่ ๆ ครับ  ภายใต้ผืนฟ้าเดียวกันนี้ ไม่ว่าทุกคนจะอยู่ที่ไหน

ไม่ว่าจะทำอะไร แม้จะไม่รู้จักหน้า แม้จะไม่รู้จักชื่อ ผมก็ยังอยากหยิบยื่นการปลอบโยนนี้ไปให้ครับ

ยินดีต้อนรับสู่  ‘บาร์หนังสือจากดวงจันทร์’ สถานที่ซึ่งความบังเอิญกลายเป็นโชคชะตา



[1] Tumblbug คือเว็ปไซต์หาทุนสนับสนุนการทำงานสำหรับนักสร้างสรรค์


หนังสือที่เกี่ยวข้อง

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

ลูกค้าสัมพันธ์
การช่วยเหลือ
บริการต่างๆ
เกี่ยวกับเรา
เลขที่ 11 ซอยสวัสดี ซอย สุขุมวิท 31
แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา
กรุงเทพมหานคร 10110

ตรวจสอบสถานะการจัดส่ง
ติดตามเราได้ที่
ช่องทางการชำระเงิน
  • Mastercard
  • Visa
© 2024 nanmeebooks.com All Right Reserved.